Monthly Archives: October 2008

ยอดขายงานคอมเวิล์ด 2008 ยืนยันกระแสเศรษฐกิจขาลง [27 ต.ค. 51 – 09:19]

ผ่านพ้นไปแล้วกับมหกรรมงานจำหน่ายสินค้าไอที คอมเวิล์ด โฟโต้เวิล์ด 2008 ครั้งที่ 7 ที่ผ่านมา ณ ห้างสยามพารากอน ชั้น 5 โดยบริษัท ดิ แอสไพเรอร์ส กรุ๊ป จำกัด หรือ TAGS ผู้จัดงานได้สรุปยอดเงินรายได้ จากการขายสินค้าไอทีในงานคอมเวิล์ด 2008 แบ่งตามประเภทสินค้าว่า ประเภทคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คมียอดขาย 604,400,000 บาท จอแอลซีดีมอนิเตอร์ 30,000,000 บาท จอแอลซีดีทีวี 10,000,000 บาท คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป 50,000,000 บาท กล้องดิจิตอล 320,000,000 บาท พริ้นเตอร์ 40,000,000 บาท เครื่องเล่น MP3 40,000,000 บาท พีดีเอโฟน 30,000,000 บาท และการ์ดหน่วยความจำและอุปกรณ์เสริมต่างๆ 90,000,000 บาท

IT Digest ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมงาน และเดินสำรวจบรรยากาศการจับจ่ายสินค้าไอที พบว่าในช่วงวันแรกที่เปิดงานประชาชนทั่วไป นักธุรกิจ และนักเรียน นักศึกษาเข้าชม มีผู้ให้ความสนใจอย่างหนาตา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการมาซื้อสินค้าคาราคาพิเศษ คือ เน็ตบุ๊ค ที่เอเซอร์ลดราคาเหลือเพียง 6,900 บาทและก็หมดไปใน เวลาที่รวดเร็ว ต่อมาความคึกคักก็กลับมากอยู่ที่งานกล้อง เมื่อมีผู้บริโภคให้ความสนใจซื้อกล้องในราคาพิเศษ โดยเฉพาะกล้องดิจิตอล DSLR ที่มีโปรโมชันแถมเน็ตบุ๊ค และเงินคืนกลับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในวันท้ายๆ มีคนมาเดินในงานไม่มากนัก

นายวิโรจน์ อัศวรังสี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดิ แอสไพเรอร์สฯ เล่าถึงภาพรวมงาน ComWorld PhotoWorld 2008 ว่า ด้วยภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองที่วิกฤติ แต่ยอดขายกล้องดิจิตอลกลับพุ่งขึ้นกว่า 3 เท่า มียอดขายกล้องรวมราว 8,000 ตัว โดย 80% ของกล้องที่ขายได้ในงานเป็นกล้องรุ่นใหญ่ หรือ DSLR ที่ มีราคาอยู่ระหว่าง 40,000-80,000 บาท ในขณะที่กล้องพกพา (กล้องคอมแพค) ขายได้อยู่ในระดับราคา 10,000 บาท มีส่วนแบ่งตลาดราว 20% ส่วนยอดขายสินค้าไอที มียอดขายทั้งสิ้น 1,200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่คาดไว้ที่ 1,500 ล้านบาท ยังเป็นที่พึงพอใจของผู้ค้าไอทีที่มาร่วมออกร้าน และมั่นใจพร้อมที่จะมาออกบูธอีกในงานหน้า

ผจก. ทั่วไป บ.ดิแอสไพเรอร์สฯ กล่าวถึงยอดขายรวมทั้งงาน ทั้งไอทีและกล้องดิจิตอลครั้งนี้ว่า ลดลง 20% เมื่อเทียบกับเดือน ก.พ.2551 ที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มโน้ตบุ๊คยังคงครองส่วนแบ่งตลาดมากที่สุด รองมาเป็นกล้องดิจิตอล พีซีตั้งโต๊ะ หรือ เดสก์ท็อป การ์ดหน่วยความจำ และอุปกรณ์เสริม พีดีเอโฟน แอลซีดีทีวี/มอนิเตอร์ เครื่องเล่นเอ็มพี3 และพริ้นเตอร์ โดยมีข้อสังเกตกว่า ราคาเฉลี่ยของกล้องดิจิตอลได้ขยับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ราว 30,000 บาท ราคาเฉลี่ยของโน้ตบุ๊คลดลงจาก 35,000 บาท ลงมาอยู่ที่ 25,000 บาท จะเห็นว่ามูลค่าการขายลดลง และจำนวนสินค้าที่ขายไม่ได้ลด เนื่องจากส่วนแบ่งตลาดของเน็ตบุ๊ค ที่มีราคาถูกกว่า และสภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มซบเซา

จาก ผลการจัดงานยอดจำหน่าย และมูลค่าที่ขายได้เท่านี้ในฐานะผู้จัดงานถือว่าพอใจมากแล้ว และทางผู้ผลิตสินค้าไอทีที่เข่ามาร่วมงานก็พอใจเช่นกัน ก่อนหน้าที่เกรงว่าการจัดงานจะได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต. ค. พอรู้ว่ามีคนบาดเจ็บล้มตายผู้ผลิตหลายรายตัดสินใจไม่มาร่วมงาน บางแบรนด์ก็ให้ตัวแทนมาเอง เพราะกลัวว่าจะขายได้ไม่ดีในงานนี้ แต่โชคดีที่งานคอมเวิล์ดได้อานิสงค์จากงานกล้องมาช่วย รวมทั้งเลนส์ราคาแพงๆ และฮาร์ดดิสก์เอ็กซเทอร์นอลก็ขายดี จนผู้บริหารของเวสเทิร์นดิจิตอลต้องมาแสดงความยินดีเลยทีเดียวนายวิโรจน์ กล่าว ด้วยน้ำเสียงที่ยินดี

ผจก.ทั่วไป บ.ดิแอสไพเรอร์สฯ ให้ความเห็นถึงอนาคตตลาดไอทีช่วงสิ้นปี 2551ไปจนถึงต้นปี 2552 ว่า ขณะนี้ ผู้จัดงานคงวางแผนยาวๆ ไม่ได้อีกแล้ง ต้องคิดกันแบบสัปดาห์ต่อสัปดาห์ ที่สำคัญสถานการณ์บ้านเมืองจากนี้ไปจะได้ข้อสรุปเพื่อยุติปัญหาหรือไม่ หากถึงเวลานั้นแล้วยังไม่จบอาจต้องเลือนงานออกไป ในมุมของตัวแทนจำหน่ายสินค้าไอที น่าจะมีการสต็อกสินค้าน้อยลง งานนี้ ถือเป็นการระบายสินค้าไปพอสมควร เชื่อว่าไม่น่าเจอปัญหาเพราะทุกคนเคยมีบทเรียน ค่ายผู้ผลิตจะลำบากเนื่องจากยอดจำหน่ายตกลงไปมาก แต่ยังกล้าสั่งของเข้ามาจำหน่าย เช่น เอชพี ทัชสมาร์ทพีซี ที่คิดว่าจะเข้ามาจำหน่ายไม่ทัน แต่สุดท้ายสั่งเข้ามาจำหน่ายได้ เหมือนกับเอเซอร์ที่เอาพีซี อีแมชีนมาแนะนำในงาน แม้แต่เอชพีที่บ่นๆ ว่าขายไม่ดียังขายพีซีโน้ตบุ๊ครวมได้กว่า 6,000 ยูนิต

นาย วิโรจน์ กล่าวถึงเทรนด์ตลาดเน็ตบุ๊คที่ถือเป็นสีสันในงานนี้ว่า ถือเป็นการแจ้งเกิดให้กับแทบทุกค่ายที่เอามาจำหน่าย อาทิ เดลล์ ก็เลือกเปิดตัวเน็ตบุ๊คในงานนี้ เลอโนโวก็นำเอามาจำหน่ายในงานราคาพิเศษลดลงอีก 2,000 บาท แบรนด์เล็กๆ อย่าง เอ็มเอสไอ ก็ได้รับการตอบรับดี เพราะทางตัวแทนจำหน่ายทำการบ้านมาดี อัสซุส เจ้าตลาดนี้ก็ขายอีพีซีรุ่นเก่าจอ 7 นิ้วรวดเดียว 160 เครื่องให้กับโรงเรียนแห่งหนึ่งใน กทม.แต่ที่คนนิยมยังเป็นรุ่นขนาดจอ 9 นิ้ว นี้ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเน็ตบุ๊คยังเป็นที่ต้องการของตลาดอีกมาก และผู้ผลิตแต่ละรายไม่เจ็บตัว เพราะมีการบริหารจัดการสต็อกสินค้าดี

ด้าน นายพรเทพ วัชระอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัทอัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า สำหรับงานคอมเวิล์ด 2008 ถือว่าเป็นงานที่คาดการณ์ได้ลำบาก เนื่องจาก 2 วันแรกที่จัดงาน ตรงกับวันที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเคลื่อนมาปิดล้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงทำให้คนส่วนหนึ่งไม่กล้าที่จะมาเดินที่สยามพารากอน แม้ว่าทางอัสซุส หรือค่ายคู่แข่งจะพยายามลดราคาลงแล้ว ก็ไม่มีคนมาซื้อเพิ่ม

กก. ผจก.บริษัทอัสซุสเทคฯ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ภาพรวมงานครั้งนี้ยังพอรับได้ เมื่อมองไปถึงงานต่อไป คือ พันธุ์ทิพย์ไอที ฮอตเซลล์ และคอมมาร์ต คอมเทค 2008 รวมทั้งการจำหน่ายในช่องทางหน้าร้านปกติ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก และมองว่าในงานไอที เช่น คอมมาร์ตฯ จะแข่งขันกันดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชัน หรือ การเล่นสงครามตัดราคา อาจมีให้เห็น เพื่อเอายอดขายในงานนี้มาชดเชยกัน รวมถึงการกระจายตลาดออกไปต่างจังหวัด ด้วยการทำโปรโมชันให้เหมือนในงานคอมมาร์ต เป็นต้น

นาย พรเทพ ให้ความเห็นถึงกระแสความนิยมเน็ตบุ๊คว่า คงไม่เกี่ยวกับการแย่งตลาดโน้ตบุ๊คธรรมดา เพราะโน้ตบุ๊คเมืองไทยขายถูกกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียอยู่แล้ว เพราะต้นทุนถูกลง แต่ก็อาจจุดกระแสเรื่องสงครามราคาได้ โดยความสนใจของผู้บริโภคระหว่างโน้ตบุ๊คกับเน็ตบุ๊ค ยังมีพอๆ กัน แต่โน้ตบุ๊คก็ยังเป็นเจ้าตลาด เพราะขายได้มากกว่า ประสิทธิภาพการใช้งานดีกว่า ขณะที่เน็ตบุ๊คเวลานี้ผู้บริโภคมองเป็นพีซีเครื่องที่ 2 หรือ พีซีเครื่อแรกสำหรับเด็กเล็ก เท่ากับว่าลูกค้าส่วนมากยังเป็นลูกค้าที่มีประสบการณ์ หรือมีความรู้ด้านไอทีถึง 60% ที่ใช้เน็ตบุ๊ค

เมื่อยอด จำหน่ายสินค้า และคนที่เดินมางานลดลง เป็นสิ่งที่ยืนยันชัดว่าสภาพเศรษฐกิจ และปัญหาความไม่สงบจากการชุมนุมเรียกร้องทางการเมือง มีผลต่อความมั่นใจและการตัดสินใจของผู้บริโภคไทย ในขณะนี้ แม้ว่าโปรโมชัน หรือราคาจะดึงดูดใจมากเพียงใด แต่ถ้าไม่มีคนมางาน ก็ไม่มีความหมาย

เช่น เดียวกับ ในมุมผู้บริโภค ควรวางแผนการจับจ่ายให้เหมาะสมกับรายได้ เลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นหรือต้องการจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม หรือมีคุณสมบัติเพียงพอกับความต้องการ สงครามราคาอาจจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค แต่ในระยะยาวก็เป็นการทำลายตลาด และกลไกธุรกิจในช่องทางปกติ รวมถึงกระทบกับการให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นการต่อต้านไม่ให้ซื้อของถูก แต่บทเรียนที่ผ่านมาก็มีให้เห็นอยู่แล้วว่าของถูก ก็ไม่ได้ดีเสมอไป…

จุลดิศ รัตนคำแปง
itdigest@thairath.co.th

http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology03a&content=109135


แค่เคาะแป้นคีย์บอร์ดก็เสี่ยงถูกล้วงตับแล้ว


:

คนมันคิดจะโกงซะอย่าง มันก็หาวิธี และเครื่องมือล้วงข้อมูลลับของคนอื่นจนได้น่า

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : เพียงแค่พิมพ์งาน เล่นเน็ต หรือเล่นเกม คุณก็เสี่ยงถูกล้วงความลับเสียแล้ว เมื่อนักวิจัยจากสวิสเซอร์แลนด์ พบว่า อาชญากรออนไลน์เริ่มหาทางขโมยข้อมูลส่วนตัวได้โดยไม่ต้องถอดอะไรให้วุ่นวาย แค่มีเครื่องจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเมื่อแป้นคอมพิวเตอร์ถูกเคาะก็ล้วงรหัส ลับบัตรเครดิต หรือพาสเวิร์ดได้แล้ว

มาร์ติน โวน็อกซ์ และซิลเวน ปาซินี่ นักศึกษาปริญญาเอกจากห้องปฏิบัติการรหัสและความปลอดภัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งโลซาน สหพันธรัฐสวิส  ทำการทดสอบแป้นพิมพ์ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่แตกต่างกัน 11 แบบ รวมถึงแป้นพิมพ์ของโน๊ตบุ๊ก โดยใช้โปรแกรมเจาะระบบข้อมูลที่พัฒนาขึ้นเอง 4 แบบ  และพบว่า แป้นพิมพ์ทุกแบบเสี่ยงที่จะถูกเจาะข้อมูล ด้วยโดยโปรแกรมที่เขาคิดขึ้นอย่างน้อย 1 โปรแกรม ซึ่งหนึ่งใน 4 โปรแกรมสามารถล้วงข้อมูลได้ไกลถึง 20 เมตร

ในการทดสอบ นักวิจัยใช้เสาอากาศรับคลื่นวิทยุจับรังสีคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าแผ่ออกมาเมื่อแป้นพิมพ์ถูกกด

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การเจาะระบบที่เราทำขึ้นนั้น สามารถพิสูจน์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ราคาแพง” นักศึกษาปริญญา เอกกล่าว

อย่างไรก็ดี รายละเอียดงานวิจัยในครั้งนี้ยังมีให้เห็นน้อย เนื่องจากการทดสอบยังคงทำโดยการเชื่อมต่อแป้นพิมพ์กับโน๊ตบุ๊คที่ใช้พลังงาน จาก แบตเตอรี่ และไม่ได้ทดสอบเปรียบเทียบกับคอมพิวเตอร์พีซีหรือการต่อเข้ากับจอแอลซีดี ซึ่งอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการจับคลื่นสัญญาณลดลง

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/26/news_306347.php

จีนโวยไมโครซอฟท์ล้ำสิทธิส่วนตัว


:

จีนออกอาการ’รมณ์เสีย หลังยักษ์ซอฟต์แวร์เดินเครื่องปราบซอฟต์แวร์ผี งัดกลยุทธ์ก่อกวนเครื่อง-จอดำ กระตุ้นใช้งานของจริง

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า ไมโครซอฟท์ กำลังดำเนินการตามกลยุทธ์ปราบซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์ โดยการส่งโปรแกรมอัพเดทไปยังผู้ใช้คอมพิวเตอร์นับล้านเครื่อง ซึ่งจะมีผลให้หน้าจอเครื่องดำ และก่อกวนผู้ใช้ให้หันมาใช้โปรแกรมวินโดว์สถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ แม้จะไม่ได้ขัดขวางการใช้งานเครื่อง แต่โปรแกรมดังกล่าวก็กวนประสาทผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในจีน โดยจะเข้าไปเปลี่ยนหน้าจอที่มีการใช้งานอยู่ให้เป็นสีดำทุกๆ ชั่วโมง

แผนดังกล่าว เป็นความพยายามส่วนหนึ่งของผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายใหญ่ ในการปราบปรามซอฟต์แวร์เถื่อนทั่วโลก โดยจะส่งโปรแกรมอัพเดทอัตโนมัติไปยังผู้ใช้ระบบปฏิบัติการเอ็กซ์พี ที่เลือกออปชั่นรับซอฟต์แวร์อัพเดทผ่านเวบไซต์

นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ ยังใช้แผนกระตุ้นผ่านโปรโมชั่นเป็นครั้งคราวในจีน โดยเดือนนี้ (ต.ค.) บริษัทได้จัดโปรโมชั่นลดค่าไลเซ่นโปรแกรมออฟฟิศ สำหรับนักเรียนและการใช้งานในบ้านจาก 102 ดอลลาร์ เหลือต่ำกว่า 30 ดอลลาร์

ไมโครซอฟท์ เผยว่า บริษัทเริ่มใช้กลยุทธ์จอดำตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเตือนผู้ใช้โปรแกรมเอ็กซ์พีทุกราย ให้รับรู้ถึงความจริงจังของบริษัท

อย่างไรก็ตาม หลังเริ่มส่งโปรแกรมอัพเดทให้กับผู้ใช้ทั่วจีนในสัปดาห์นี้ ก็มีเสียงติติงเกิดขึ้น โดยบล็อกเกอร์รายหนึ่ง ส่งจดหมายไปยังไมโครซอฟท์มีใจความระบุว่า “เราไม่ได้คัดค้านนโยบายดังกล่าว แต่ก็ขอต่อต้านการกระทำของบริษัท ที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของผู้ใช้เลย”

ทั้งนี้ ประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดที่มียอดขายคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล อันดับ 2 ของโลก ได้รับความสนใจจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะหลังงบลงทุนไอทีปรับลดลงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยไมโครซอฟท์ระบุว่า จีน บราซิล รัสเซีย และอินเดีย มีรายได้เติบโตสะสมทั้งปี 54% สูงกว่ารายได้รวมทั่วโลกที่ขยายตัวเพียง 18%

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/27/news_306234.php

HP Deskjet F735 All-in-One ประสิทธิภาพสูงในราคาสุดคุ้มแก่ผู้บริโภค พร้อมเทคโนโลยีหมึกล่าสุด Dual Drop

เอชพีไม่หวั่นตลาดเครื่องพิมพ์แข่งขันดุ ล่าสุดเปิดตัวเครื่องพิมพ์ HP Deskjet F735 All-in-One ที่มาพร้อมเทคโนโลยีหมึกพิมพ์ล่าสุด Dual Drop ในราคาสุดประหยัดพร้อมหมึกพิมพ์รุ่นใหม่ราคาพิเศษ มอบประสิทธิภาพการใช้งานอย่างครบครัน ตอบสนองความต้องการในยุคเศรษฐกิจฝืด คาดสร้างยอดขายเติบโต 40% ในปีนี้ ครองความเป็นที่หนึ่งของตลาดเครื่องพิมพ์ออลอินวัน

นายฐิตพล บุญประสิทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาดเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทและสแกนเนอร์ บริษัท ฮิวเลตต์ แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากการเติบโตของตลาดอิงค์เจ็ทในภาพรวมในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างมากของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทประเภทออลอินวัน ทำให้เอชพีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2550 โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท ออลอินวัน ที่เอชพีมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งมาโดยตลอด และในปี 2550 เอชพีมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งที่ 38% ของตลาดรวม ในไตรมาสที่ 2 ปี 2551 เอชพีมีการเติบโต 75%

ใน ขณะที่เทรนด์ความต้องการของตลาดมุ่งไปที่เครื่องพิมพ์ประเภทออลอินวัน ซึ่งทางเอชพีเองมีผลิตภัณฑ์ที่ได้เปรียบในตลาดอยู่แล้ว เอชพีจึงได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทให้เหมาะสำหรับการ ใช้งาน โดยเฉพาะในตลาดที่มีการใช้งานในลักษณะกึ่งโฮมยูสและบิสสิเนสยูสที่เป็น ธุรกิจรายย่อยหรือไมโครบิสสิเนส ซึ่งต้องการการใช้งานที่หลากหลาย อย่างเต็มประสิทธิภาพในราคาย่อมเยาทั้งในแง่ของตัวเครื่องและหมึกพิมพ์ ดังนั้น เอชพีจึงนำเสนอเครื่องพิมพ์ HP Deskjet F735 All-in-One เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้

HP Deskjet F735 All-in-One มาพร้อมเทคโนโลยีหมึกพิมพ์ Dual Drop ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีหมึกพิมพ์ล่าสุดจากเอชพี ที่จะมอบคุณภาพงานพิมพ์มาตรฐานสูง ให้ความคมชัดในระดับเครื่องพิมพ์เลเซอร์ และยังให้ภาพสีสันสดใส ให้ความเร็วในการพิมพ์ที่สูงขึ้น นอกจากนี้ เครื่องพิมพ์รุ่นดังกล่าวยังมีราคาเครื่องที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ทั้งตัวเครื่องและหมึกรุ่น HP 703 ที่ราคาเพียง 320 บาทสำหรับหมึกดำ พิมพ์ได้สูงสุด 600 แผ่นต่อตลับ และพิมพ์สีได้จำนวนสูงสุดถึง 250 แผ่นต่อตลับ ด้วยราคาหมึกที่ 320 บาทเท่ากัน ซึ่งทำให้สามารถประหยัดได้สูงสุดถึง 150% เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์อื่นๆ นอกจากนี้ ยังมาพร้อม HP Smart Web Printing และ HP PS Essential ซอฟต์แวร์ช่วยจัดการด้านงานพิมพ์อีกด้วย

“HP Deskjet F735 All-in-One คือผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาเติมเต็มการใช้งานของกลุ่มโฮมยูส และ ไมโคร บิสสิเนส ด้วยประสิทธิภาพการพิมพ์ในระดับสูงในขณะที่ราคาประหยัดคุ้มค่า มีคุณภาพงานพิมพ์ที่สม่ำเสมอวางใจได้ อีกทั้งยังเป็นการเติมเต็มไลน์สินค้าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทของเอชพีให้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และจะช่วยเพิ่มยอดขายในส่วนของผลิตภัณฑ์อิงค์เจ็ททั้งหมดด้วย ซึ่งคาดว่า HP Deskjet F735 All-in-One จะมียอดขายคิดเป็นสัดส่วน 10% ของผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท และคาดว่าจะดึงยอดผู้ใช้หมึกแท้เอชพีเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันนายฐิตพลกล่าวปิดท้าย

เครื่องพิมพ์ HP Deskjet F735 All-in-One ราคา 3,990 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ผู้สนใจสามารถสอบรายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ได้ที่ HP Contact Center โทรศัพท์ 0-2353-9000 ต่อ 1

ฟังเอ็มพี 3 นาน 5 ปี หูดับสนิท!

เตือนฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี เสียงดังนานเกิน 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี มีสิทธิ์หูหนวกถาวร

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : นักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาวิจัยตามคำร้องของสหภาพยุโรป(อียู) ที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมการฟังเพลงในยามว่าง ชี้ว่า เด็กและวัยรุ่นควรจะ หลีกเลี่ยงการฟังเสียงที่ดังเกินกว่ามาตรฐาน ซึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือที่ดังเกินเหตุนั้นก็จะนำมาเป็นประเด็นในการ วินิจฉัยต่อไป

นักวิจัยชี้ว่าอัตราเสี่ยงที่จะส่งผล ต่อการได้ยินนั้น ขึ้นอยู่กับความดังของเสียงและระยะเวลาฟัง ซึ่งบรรดาเด็กวัยรุ่นมีความเสี่ยงสูง

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าประชากร ระหว่าง 50-100 ล้านรายที่ใช้เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาฟังเพลงเป็นประจำทุกวัน หากฟังเพลงเสียงดังเกิน 85  เดซิเบล 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็ถือว่า ได้รับเสียงที่ดังเกินกว่าที่สหภาพยุโณปกำหนดความดังของเสียงที่ได้ยินในที่ ทำงาน และหากฟังในระยะเวลาที่นานกว่า นั้น ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสียการได้ยินแบบถาวรภายในระยะเวลา 5 ปี

เมื่อลองคำนวณนักวิจัยพบว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่ในระหว่าง 5-10% ของผู้ที่ฟังเพลงผ่านเครื่องเล่นเอ็มพี หรือเท่ากับประชากรในสหภาพยุโรป กว่า 10 ล้านคน

ยอดขายของเครื่องเล่นเพลงพกพาใน ประเทศแถบยุโรปเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะ เครื่องเล่นเอ็มพี ซึ่งเจ้าหน้าที่ สหภาพยุโรปคาดการณ์ว่า ยอดขายระหว่า 184-246 ล้านเครื่องสำหรับเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จะเป็นยอดขายเครื่องเล่นเอ็มพี ถึง  124-165 ล้านเครื่อง

ในขณะที่โทศัพท์มือถือก็เป็นอีกหนึ่ง ประเด็นที่เม็กลีน่าคูเนว่า เจ้าหน้าที่กิจการผู้บริโภคของสหภาพยุโรปมองเห็นอันตรายต่อการได้ยิน โดยกล่าว ว่า บรรดาวัยรุ่นใช้ระดับเสียงที่ดังเกินกว่ามาตรฐานและอาจส่งผลต่อการได้ยินได้

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/18/news_304453.php

แนะพ่อแม่ยุคไซเบอร์ ต้องส่งเสริมลูก ใช้คอมฯให้ถูกทาง

แนะพ่อแม่ยุคไซเบอร์ ต้องส่งเสริมลูก ใช้คอมฯให้ถูกทาง [20 ต.ค. 51 – 11:35]

นาย แพทย์ปราการ ถมยางกูร จิตแพทย์ประจำโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวในงานเสวนาเรื่อง “พ่อแม่ยุคใหม่รับมืออย่างไรกับเด็กไซเบอร์” ซึ่งจัดโดยสำนักงานอุทยานการเรียนรู้ หรือ TK park วานนี้ (19 ต.ค.) ว่า ปัจจุบันเป็นโลกของยุคที่เรียกว่าไซเบอร์ ที่ทุกคนสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้หมด ซึ่งมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้เลือกรับจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่เป็นโทษแทรกซึมเข้ามา โดยที่เราไม่สามารถกลั่นกรองหรือสกัดกั้นได้ทั้งหมด อาทิ เรื่องของการใช้ความรุนแรง หรือเรื่องทางเพศที่ปรากฎอยู่ในเกมส์ต่างๆ ผู้ใช้ควรเลือกใช้แต่ด้านที่ให้ประโยชน์และความรู้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองที่จะต้องดูแลและให้คำแนะนำแก่เด็ก

“วิธีที่จะทำให้พ่อแม่รู้ว่าลูกใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตอย่างไร นั้น มีอยู่หลายวิธี ทั้งการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ไปตั้งไว้ในห้องส่วนกลาง การใช้อินเตอร์เน็ตไปพร้อมๆ กับลูก ถือเป็นการใช้เวลาร่วมกันและช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวได้อีกทาง หนึ่ง หรือการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้เป็นของส่วนรวม โดยบอกกับลูกว่าเป็นของพ่อแม่ แต่อนุญาตให้ลูกยืมเล่นได้ตามวันและเวลาที่พ่อแม่กำหนดให้” นายแพทย์ปราการ กล่าว

นายแพทย์ปราการ ยังกล่าวต่อว่า การที่พ่อแม่จะห้ามไม่ให้ลูกเล่นคอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เน็ตนั้นเป็นเรื่อง ยาก เนื่องจากพ่อแม่ไม่สามารถที่จะดูแลลูกได้ตลอด 24 ชั่วโมง หากใช้คำพูดรุนแรงหรือห้ามไม่ให้ลูกเล่น อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกต่อต้านและต้องการเอาชนะ ดังนั้น พ่อแม่ควรพูดคุยตกลงกับลูกให้เข้าใจเสียก่อน โดยอาจมีการตั้งกฎหรือสัญญาบางประการร่วมกับลูกไว้ล่วงหน้า ไม่ควรปล่อยให้เกิดปัญหาแล้วจึงว่ากล่าวลูกภายหลัง

“ต้องยอมรับและเข้าใจว่าปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุอยู่รอบตัวเด็กมากมาย สิ่งที่ดีอยู่ตรงหน้าและสิ่งที่ไม่ดีก็อยู่ตรงหน้า หากจะห้ามทุกอย่างห้ามตลอดก็คงจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำก็คือการสร้างกรอบให้กับลูก แต่กรอบดังกล่าวต้องสามารถยืดหยุ่นได้บ้าง เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความรู้สึกว่าโดนบังคับจนหันไปทำสิ่งผิดๆ อย่างอื่น หากลูกเกิดอาการติดเกมส์ ควรรีบหาทางแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยให้ผ่านไปเป็นเวลานานจนไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะเด็กบางรายนั้นติดเกมส์มากถึงขนาดเล่นทั้งวันทั้งคืนไม่ยอมไปโรงเรียน จนทำให้เสียการเรียนถึงขั้นโดนไล่ออกก็มี” จิตแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี กล่าว

นางดวงเนตร แซ่ตั้ง ผู้เข้าร่วมงานเสวนาดังกล่าว กล่าวถึงประโยชน์ที่ลูกชายได้รับจากการใช้คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตว่า วิธีที่จะทำให้ลูกได้ประโยชน์มากกว่าโทษจากการใช้คอมพิวเตอร์คือ การที่พ่อแม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมและสนับสนุนลูก พ่อแม่จึงจำเป็นต้องรู้และเข้าใจสิ่งที่ลูกทำ ด้วยการศึกษาข้อมูลและลงมือปฏิบัติควบคู่กันไป

“วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด พ่อแม่จะต้องใช้เวลาอยู่กับลูกให้มากกว่าเดิม ถ้าอยากเข้าใจในสิ่งที่เด็กทำ เราต้องคลุกคลีและเข้าใจในสิ่งนั้นด้วย หากเจอสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องบอกกับลูกทันทีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งไม่ดีไม่สมควรทำ และต้องคอยหาวิธีเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ด้วยการพาไปทำกิจกรรมอื่นๆ บ้าง” นางดวงเนตร กล่าว

http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology03b&content=108316

กทช.เล็งประมูลไวแม็กซ์พ.ค.52


:

กทช. ตั้งเป้าเปิดรับซองประมูลไวแม็กซ์ พ.ค. ปีหน้า คาดใช้วิธีการ”ไฮบริด” ตามรอยไลเซ่นมือถือ 3จี ด้านอินเทล กระตุ้นไทยเร่งออกไลเซ่น ชี้เป็นเทคโนโลยีที่หนุนประชากรให้เข้าถึงข้อมูลได้ในราคาถูก

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) กล่าวว่า กทช. เตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ การจัดสรรคลื่นความถี่สำหรับบริการบรอดแบนด์เคลื่อนที่ (ไวแม็กซ์) ในเดือน ธ.ค.นี้ เพื่อรวบรวมข้อมูล ก่อนเปิดประมูลประมาณเดือน พ.ค. ปีหน้า โดยจะเปิดให้ผู้สนใจรับเงื่อนไขการประมูล (ทีโออาร์) ในเดือน มี.ค.

ทั้งนี้ กำหนดเวลาดังกล่าว จะเหลื่อมล้ำกับการประมูลใบอนุญาตบริการมือถือ 3จี ซึ่งจะเริ่มไปก่อนล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน

ด้านแนวทางจัดสรรคลื่น คาดว่าจะใช้รูปแบบเดียวกับบริการ 3จี คือ วิธีการแบบผสมผสาน หรือไฮบริด โดยคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติจากขั้นตอนการประกวด (บิวตี้ คอนเทสต์) โดยเปรียบเทียบข้อเสนอแผนงาน ก่อนเข้าสู่กระบวนการประมูล (อ็อกชั่น) ต่อไป

ในส่วนของคลื่นความถี่นั้น กำลังพิจารณาระหว่าง 2.3-2.5 กิกะเฮิรตซ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคลื่น 2.5 กิกะเฮิรตซ์บางส่วนถูกจัดสรรสำหรับบริการเคเบิลทีวีผ่านเอ็มเอ็มดีเอส ดังนั้น หากมีผลสรุปใช้คลื่นที่ทับซ้อนกันอยู่ ก็จะประสานงานกับกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อขอให้เลี่ยงไปใช้ความถี่ย่านอื่นแทนสำหรับบริการเคเบิล

ขณะที่ จำนวนผู้ให้บริการที่เหมาะสมนั้น คาดว่าน่าจะมีไม่เกิน 5 ราย เพื่อไม่ให้การแข่งขันรุนแรงเกินไป ซึ่งแนวคิดขณะนี้ก็คือ จะจัดสรรใบอนุญาตแบบแบ่งโซน คือ ภูมิภาค 2-3 ราย และในเมือง 3 ราย

ด้านนายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสิรฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อินเทล ได้เข้าไปนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องไวแม็กซ์ต่อ กทช. โดยมองว่า เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลได้ในราคาถูก ลดช่องว่างของการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน ที่จำเป็นต่อการสร้างความเท่าเทียมของฐานการเรียนรู้ ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม

นายเควิน ลิม กรรมการผู้จัดการ โครงการไวแม็กซ์ ประจำประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ บริษัท อินเทล เทคโนโลยี เอเชีย กล่าวว่า ไวแม็กซ์ เป็นเทคโนโลยีที่อยู่บนพื้นฐานของไอพี เบส บรอดแบนด์ และได้รับการออกแบบให้ตอบสนองความต้องการใช้งานด้านสื่อสารข้อมูล เป็นเครือข่ายสื่อสารไร้สาย ที่ติดตั้งได้ง่ายและเร็ว เข้าถึงผู้ใช้บริการได้รวดเร็ว

“ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตประมาณ 13.4 ล้านคน คิดเป็นอัตราเติบโต 483% ในช่วงตั้งแต่ปี 2543-2551 แต่จำนวนนี้กลับบรอดแบนด์เพียง 1.7 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนที่ยังเล็กอยู่เมื่อเทียบกับจำนวนครัวเรือน” นายลิมกล่าว

พร้อมกันนี้ เขาเสนอแนะว่า คลื่นความถี่ซึ่งเหมาะสมสำหรับการจัดสรรให้บริการไวแม็กซ์ น่าจะอยู่ในย่าน 2.3-2.5 กิกะเฮิรตซ์ ซึ่งมีข้อดีในแง่อีโคโนมี ออฟ สเกล เพราะใช้แพร่หลายทั้งยุโรป อเมริกา รวมถึงเอเชียหลายประเทศ ทำให้ได้เปรียบในแง่ต้นทุนบริการ เปิดกว้างต่อการให้บริการราคาที่เหมาะสม กระตุ้นการใช้งานให้ขยายตัวได้เร็ว

เบนคิวรุกตลาดจอแอลซีดีเปิดตัวรวดเดียว 7 รุ่น


:

เบน คิวเปิดเกมรุกจอแอลซีดี เปิดตัว จอระบบ Full HD 16:9 รายแรกของไทย พร้อมกัน 7 รุ่นจาก 4 ซีรีย์ หวังดันยอดขายโตต่อเนื่องสู้เศรษฐกิจขาลง

กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ผู้ อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดจอแอลซีดีของไทยมีการแข่งขันสูง โดยบริษัทพยายามเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวจอแอลซีดีพร้อมกับ 7 รุ่น ในระบบ FULL HD 16:9 (High Definition)

โดยระบบดังกล่าวเป็นการยกระดับของ คุณภาพและเสียงของจอแอลซีดี จากรุ่นทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจน เหมาะสมสำหรับทั้งใช้ทำงาน โดยเฉพาะงานด้านกราฟฟิก ชมภาพยนตร์ด้วยแผ่นดีวีดี แบบ FULL HD เล่นเกมส์ 3 มิติที่ต้องใช้จอภาพระดับสูง เพื่อแสดงภาพได้ครบถ้วนสมบูรณ์ซึ่งจอแอลซีดีปกติไม่สามารถทำได้

“จอแอลซีดีรุ่นใหม่สามารถตอบสนองความ ต้องการของลูกค้าในทุกเซ็กเม้นท์ตั้งแต่ กลุ่ม Corporate Users, SOHO Users, Home Users ที่มุ่งเน้น Home Entertainment รวมถึง กลุ่ม Commercial ต่างๆ เช่น ร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ร้านเกมส์ รวมถึง กลุ่มสถาบันการศึกษาที่ต้องการใช้เทคโนโลยีล่าสุด” นายธีรวุธ กล่าว

“ล่าสุดเบ็นคิวได้เปิดตัวจอ LCD รุ่นใหม่ล่าสุดทั้งหมด 7 รุ่น ซึ่งเป็นระบบ FULL HD 16:9 (High Definition) ซึ่งเป็นยกระดับ

โดยมีขนาดตั้งแต่ 19 – 22 นิ้ว  สำหรับรุ่นที่คาดว่าจะได้รับความนิยมสูงน่าจะเป็นรุ่น E2200HDA ขนาด 21.5 นิ้ว เนื่องจากเป็นจอ 21.5นิ้ว ระบบ FULL HD 16:9 เครื่องแรกของโลก ซึ่งจะวางจำหน่ายในราคา 6,090 บาท และจะทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยกระดับจากการใช้จอขนาด 19นิ้ว

นอกจากนี้ จอแอลซีดีรุ่นอื่นๆ ที่เปิดตัวพร้อมกันได้แก่ G900HD, G900HDA, E900HD, E900HDA, M2200HD และ T2200HD จะสามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้แต่ละกลุ่มที่ต้องการ จอ LCD ขนาดและระดับราคาที่แตกต่างกันได้อย่างครบถ้วน

เบ็นคิวได้วางแผนการตลาดเชิงรุกอย่าง ครบวงจรด้วยการสร้างแบรนด์เบ็นคิวด้วยการประชาสัมพันธ์ การพัฒนาช่องทางการจำหน่าย การอบรมให้ความรู้ดีลเลอร์เกี่ยวกับระบบ FULL HD 16:9 และการทำตลาดร่วมกับคู่ค้า และตัวแทนจำหน่าย รวมถึงการทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มเป้าหมายตลอดทั้งปี เพื่อเป็นการสร้างการจดจำแบรนด์ “เบ็นคิว” และสร้างประสบการณ์ตรงให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์โดยตรง โดยสิ้นปีคาดว่าบริษัทจะมีรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มจอ LCD ประมาณ 600 ล้านบาท” คุณธีรวุธ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดกล่าวสรุป

ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมียอดจำหน่ายจอ LCD ถึง 76,000 เครื่อง เติบโตขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่จำหน่ายได้ 44,000 เครื่อง ในขณะที่ตลาดรวมเติบโตเพียง 10 -20% และคาดว่าการเปิดตัวจอแอลซีดีทั้ง 7 รุ่นจะผลักดันให้เบนคิวมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12% ในตลาดจอแอลซีดีที่มีขนาดประมาณ 1 ล้านเครื่อง

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/15/news_303609.php

ว้าวๆๆ การ์ตูนไทยกลายเป็นเกมแล้ว!


:

คอ เกม คอการ์ตูน เชิญทางนี้ “ดิจิคราฟต์” ร่วม 4พันธมิตร จับคาแรกเตอร์การ์ตูนไทยใส่เกมออนไลน์ “เก็ทแอมป์เอ็กซ์” เตรียมเปิดให้บริการ 23 ต.ค. นี้

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : นายสุรศักดิ์ อารีย์สว่างกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ดิจิคราฟต์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ดิจิคราฟต์ ร่วมกับบริษัท ไซเบอร์ สเตป จำกัด ผู้พัฒนาเกมออนไลน์ เก็ทแอมป์ เกมต่อสู้สไตล์ แคช่วล จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาเกมเก็ทแอมป์ เอ็กซ์ เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด ที่ได้จับมือพันธมิตร 4 ราย นำคาแรกเตอร์การ์ตูนไทยใส่ในเกมเวอร์ชั่นใหม่ ของโซนไทย พร้อมการทำตลาด

พันธมิตรหลักทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย บริษัท วิธิตา แอนนิเมชั่น จำกัด เจ้าของคาแรกเตอร์หนุมาน และวิลลี่ เดอะ ชิกเก้น, บริษัท โฮมรัน จำกัด ผู้สร้างโฟร์แองจี้ บริษัท โมโนมาเนีย จำกัด คาแรกเตอร์โปงลางละอ่อน และบริษัท มาโช บิส จำกัด เป็นผู้วางกลยุทธ์การตลาด

ส่วนของโซนไทย จะเริ่มให้บริการวันที่ 23 ต.ค.นี้ คาดว่าภายใน 6 เดือน จะมีผู้เล่นเพิ่มเป็น 3 ล้านไอดี จากปัจจุบันมีประมาณ 1.7 ล้านไอดี จากนั้นต้นปีหน้าจะเริ่มให้บริการในต่างประเทศ เริ่มที่ญี่ปุ่น และขยายไปอีกกว่า 10 ประเทศ เช่น เกาหลี, เวียดนาม, สหรัฐอเมริกา, รัสเซีย และเนเธอร์แลนด์

ขณะที่ เกมเก็ทแอมป์เอ็กซ์ จะเริ่มให้บริการวันนี้ (10 ต.ค.) มีฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น เล่นได้พร้อมกัน 16 คน จากเดิม 8 คน ทั้งพัฒนาระบบเอนจิ้นให้ทันสมัยมากกว่าเกมออนไลน์อื่นๆ

“ตอนนี้ตลาดเกมออนไลน์ในประเทศไทยมา จากเกาหลี 90% จุดเด่นของเกาหลีคือมีภาพกราฟฟิกที่สวยงาม เกมจากญี่ปุ่นที่ดิจิคราฟต์นำเข้ามา อาจมีภาพที่สวยน้อยกว่า แต่ถ้าเทียบเชิงเทคโนโลยีและระบบเอนจิ้นแล้ว ยืนยันว่าดีกว่าแน่นอน ยิ่งมีการทำตลาดนำคาแรกเตอร์การ์ตูนไทยเข้ามา ถือเป็นการฉีกแนวเป็นครั้งแรก” นายสุรศักดิ์ กล่าว

พร้อมระบุว่า การนำคาแรกเตอร์การ์ตูนเข้ามา จะทำให้เกมเป็นที่รู้จักมากขึ้นในประเทศ และยังมีโอกาสทำตลาดต่างประเทศต่อยอดด้านตัวการ์ตูน คาแรกเตอร์ และได้เผยแพร่ความเป็นไทยไปในตัว และสร้างโอกาสการทำตลาดแอนิเมชั่นออกต่างประเทศ

เกมเก็ทแอมป์ เริ่มให้บริการในประเทศไทยมา 4 ปี ซึ่งเขากล่าวว่า แม้ไม่ได้ทำตลาดอย่างหนักเหมือนเกมออนไลน์อื่นๆ แต่ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะกระแสเกมสไตล์แคช่วล ที่ใช้เวลาเล่นน้อย ประมาณ 15 นาทีต่อ 1 รอบ กำลังได้รับความนิยม

ส่วนการพัฒนาเกมอื่นๆ ของบริษัท นอกจากเกมออนไลน์ อาคาน่า ที่พัฒนาขึ้นมาเองโดยคนไทยแล้ว ภายในปีนี้ดิจิคราฟต์จะร่วมกับบริษัท ไซเบอร์ สเตป จำกัด (ประเทศญี่ปุ่น) เปิดเกมออนไลน์ ซี21 ซึ่งเป็นเกมที่มีรายละเอียดของเนื้อหา และได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ และปีนี้ ดิจิคราฟต์ตั้งเป้ารายได้ 60 ล้านบาท

นายสันติ เลาหบูรณะกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท วิธิตา แอนิเมชั่น จำกัด กล่าวว่า วิธิตา เลือกหนุมาน และวิลลี่ เดอะชิกเก้น เพราะมีความเป็นไทยแฝงอยู่ หนุมานเป็นวรรณคดีไทย ขณะที่ วิลลี่เป็นไก่ชน ที่มีความสามารถด้านมวยไทย

“เป็นการโปรโมตคาแรกเตอร์การ์ตูนที่มี และขยายกลุ่มเป้าหมายสู่กลุ่มวัยรุ่นที่เล่นเกมออนไลน์ จากเดิมเน้นกลุ่มเด็กเป็นหลัก” นายสันติ กล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/10/news_302031.php

AMD พึ่งตัวช่วย “อาบูดาบี”


:

งานนี้ยักษ์อินเทลมีหนาว ล่าสุด “เอเอ็มดี” ประกาศพึ่งกลุ่มทุนตะวันออกกลางร่วม “อาบูดาบี” แตกบริษัทย่อย

กรุงเทพ ธุรกิจ ออนไลน์ : สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า บริษัท แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวส์ (เอเอ็มดี) ผู้ผลิตชิพพีซีรายใหญ่ของสหรัฐ ประกาศแตกกิจการออกเป็น 2 บริษัทย่อย หลังได้รับเงินลงทุนก้อนโตจากกลุ่มทุน 2 รายของอาบูดาบี

เอเอ็มดี ระบุผ่านแถลงการณ์ว่า บริษัทจะแตกธุรกิจเป็น 2 บริษัทย่อย แยกดูแลงานออกแบบผลิตภัณฑ์เซมิคอนดักเตอร์ และงานด้านการผลิต โดยมีบริษัท แอดวานซ์ เทคโนโลยี อินเวสเมนท์ จำกัด (เอทีไอซี) จากอาบูดาบี ถือหุ้นข้างมาก 55.6% ในโรงงานผลิตชิพซึ่งจะใช้ชื่อชั่วคราวว่า “The Foundry Company” และเอเอ็มดี เป็นผู้ถือหุ้นส่วนที่เหลือ ทั้งนี้ ดีลดังกล่าวอยู่ระหว่างรออนุมัติจากรัฐบาลสหรัฐ คาดว่าจะแล้วเสร็จต้นปี 2552

แถลงการณ์ ระบุด้วยว่า เอทีไอซี จะลงทุน 2.1 พันล้านดอลลาร์เพื่อเข้าซื้อหุ้นของ The Foundry Company ซึ่งเงินจำนวนนี้รวมถึงการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่ม และหนี้มูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ของเอเอ็มดี ซึ่งมีรายงานผลประกอบการขาดทุนติดต่อกัน 7 ไตรมาส

นอกจากนี้ เอทีไอซี ยังให้คำมั่นว่าจะเพิ่มเงินลงทุนอีก 3.6 – 6 พันล้านดอลลาร์ ตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับแผนขยายกำลังการผลิต

ขณะเดียวกัน บริษัท เดอะ มูบาดาลา ดิเวลอปเมนท์ จำกัด กลุ่มทุนอีกรายจากอาบูดาบี ก็เตรียมเพิ่มเงินลงทุนในเอเอ็มดี 19.3% จากที่ถือหุ้นอยู่ 8.1%

ทั้งนี้ กลุ่มทุนทั้ง 2 ราย ก่อตั้งโดยรัฐบาลของอาบูดาบี โดยเอทีซีไอ มุ่งลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะ

http://www.bangkokbiznews.com/2008/10/09/news_301554.php