Category Archives: ไม่มีหมวดหมู่

Huawei เผยโฉม Kirin 950 ชิปเซ็ตโมบายล์ SoC ทรงพลัง สาหรับสมาร์ทโฟนรุ่นต่อไป

หลังจากที่ได้พัฒนาชิปเซ็ตรุ่นใหม่ได้ระยะหนึ่ง ในที่สุด Huawei ก็ได้เปิดตัวชิป Kirin 950 ออกมาอย่างเป็นทางการ โดยชิปเซ็ตรุ่นใหม่นี้จะมาพร้อมกับสถาปัตยกรรม big.LITTLE ที่ช่วยในการประหยัดพลังงานและโครงสร้างที่เป็นแบบ Octa-Core โดยประกอบไปด้วย ซีพียู Cortex A-72 ความเร็ว 2.53GHz จานวน 4 แกน และซีพียู Cortex A-53 ความเร็ว 1.8GHz อีก 4 แกน ส่วนหน่วยประมวลผลกราฟิกที่ใช้นั้นจะเป็น Mali-T880MP4 พร้อมกับมี i5 Sensing co-processor สาหรับประมวลผลข้อมูลจากเซ็นเซอร์โดยตรงรวมอยู่ด้วย
ชิปเซ็ต Kirin 950 นี้จะผลิตโดยใช้โดยใช้เทคโนโลยี FinFET ขนาด 16 นาโนเมตร ซึ่งการผลิตด้วยวิธีนี้จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพได้ 40 เปอร์เซ็นต์ โดยที่ใช้พลังงานต่าลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับชิปรุ่นก่อน ซึ่งผลการทดสอบประสิทธิภาพที่ออกมา ชิปเซ็ต Kirin 950 บนระบบต้นแบบก็สามารถทาคะแนนการทดสอบแบบ Single-core และ Multi-core ด้วย Geekbench ได้ถึง 1,909 และ 6,096 คะแนนตามลาดับ หรือเมื่อทดสอบด้วย AnTuTu ก็ทาคะแนนได้ 82,945 คะแนน ในขณะเดียวกันกราฟิก Mali-T880 ก็มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมถึงสองเท่าด้วย โดยคาดว่า Mate 8 ของ Huawei ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ผลิตออกมาโดยใช้ชิปเซ็ตรุ่นนี้

ข้อมูลจาก synnex.co.th

vmware ชี้ virtualization ช่วยลดค่าใช้จ่ายภาคธุรกิจ

วีเอ็มแวร์ การันตีเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่น ช่วยธุรกิจไทยเลี่ยงค่าใช้จ่ายได้ถึง 30,000 ล้านบาท จากการลดการซื้อเซิร์ฟเวอร์เพิ่ม ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าบำรุงรักษา และค่าสถานที่ติดตั้งระบบ…

เมื่อเร็วๆ นี้ วีเอ็มแวร์ อิงค์ องค์กรด้านบริการเวอร์ชวลไลเซชั่นและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ประกาศเปิดตัวแคมเปญ Virtualization 2020 ซึ่งช่วยให้ธุรกิจย้ายจากยุคของไคลเอ็นต์เซิร์ฟเวอร์ไปสู่การประมวลผลแบบ คลาวด์ ในขณะที่มีการทำงานแบบเคลื่อนที่อยู่นอกสำนักงาน ทั้งนี้ IDC Server Economies Index เปิดเผยว่าตั้งแต่ปี 2546-2563 องค์กรธุรกิจใน 8 ประเทศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะสามารถหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายได้ถึง 2,940,000 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการทำเซิร์ฟเวอร์ระบบเวอร์ชวลไลเซชั่น

ทั้ง นี้ ไอดีซี ยังได้ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับเทคโนโลยีเวอร์ชวลไลเซชั่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในอนาคตถึงปี 2565 ด้วยการประมาณค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซิร์ฟเวอร์ x86 ที่จะเกิดขึ้น หากไม่มีการนำโซลูชั่นด้านการทำเวอร์ชวลไลเซชั่นมาใช้ไว้ว่าจากการสำรวจผ่าน การโมเดลของ ไอดีซี ในประเทศไทยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจะกว่า 30,960 ล้านบาท ประกอบด้วยการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่สำคัญใน 4 ส่วนหลัก คือ 1. หลีกเลี่ยงการซื้อเซิร์ฟเวอร์เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายได้ถึง 18,660 ล้านบาท ซึ่งเมื่ออ้างอิงตัวเลขดังกล่าวกับค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสวนลุมพินี ซึ่งเปรียบเป็นปอดของกรุงเทพฯ ต่อปี จำนวน 876 ล้านบาท จะสามารถเพิ่มระยะเวลาให้คนไทยได้ใช้สวนลุมพินีสำหรับการออกกำลังกายเพิ่ม อีก 21 ปี หรือสามารถนำเงินส่วนนี้ไปให้ความช่วยเหลือผู้พิการในประเทศไทยได้เป็นระยะ เวลา 91 ปี 2. ทำให้หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายได้ถึง 5,700 ล้านบาท เฉพาะด้านพลังงาน ด้านระบบไฟฟ้า และระบบระบายความร้อนของระบบเซิร์ฟเวอร์ในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ 3. ลดค่าใช้จ่ายด้านบำรุงรักษาและดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์จากการใช้จ่ายด้านการ บริหารทรัพยากรบุคคลได้ถึง 6,450  ล้านบาท (ตามการประมาณการของไอดีซี) 4. หลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายได้ถึง 180 ล้านบาท เมื่ออ้างอิงกับค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ลงทุนกับ สถานที่การติดตั้งระบบเซิร์ฟเวอร์

อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าธุรกิจเป็นจำนวนมากคาดว่าจะมีการทำเวอร์ชวลไลเซ ชั่นในอนาคต ซึ่งข้อมูลนี้ได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดเซิร์ฟเวอร์ x86 ไทยขยายตัวมาอย่างต่อเนื่องราว 3.4% ตั้งแต่ปี 2550-2555 และคาดการณ์ว่าในปี 2555-2563 จะเติบโตเป็น 4.6%

นายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน บริษัท วีเอ็มแวร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันธุรกิจของบริษัทได้มาถึงจุดที่ยอมรับแนวคิดของการนำเวอร์ชวลไลเซ ชั่นไปใช้ และตระหนักถึงความคล่องตัว รวมถึงผลประโยชน์ต่างๆ และความยืดหยุ่นทางธุรกิจที่ดีขึ้นจากการนำเวอร์ชวลไลเซชั่นมาสนับสนุนการลด ค่าใช้จ่ายดำเนินการและสร้างความยั่งยืนขององค์ประกอบธุรกิจได้อย่างดียิ่ง ขึ้น

ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน วีเอ็มแวร์ ประเทศไทย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้องค์กรจำนวนมากยังนำเวอร์ชวลไลเซชั่นมาใช้ในส่วนอื่นๆ ของศูนย์ข้อมูลที่ถูกกำหนดขึ้นโดยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Data Center : SDDC) นอกจากนี้พวกเขาจะพบวิธีการใหม่ๆ ในการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่น เช่น ระบบเครือข่าย การรักษาความปลอดภัย และการจัดเก็บข้อมูล ในขณะที่องค์กรเปลี่ยนไปสู่การสร้าง SDDC ยิ่งช่วยให้การประหยัดค่าใช้จ่ายทำได้มากขึ้น ทำให้องค์กรสามารถนำกลับไปลงทุนในส่วนอื่นที่มีความสำคัญต่อการคิดค้นนวัต กรรมและเพิ่มผลผลิต เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันในภูมิภาคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการตระหนักถึงการนำไอทีมาปรับใช้ในโครงสร้างพื้นฐานตามลำดับ.

ข่าวจาก

http://www.thairath.co.th/content/tech/375599

ผ่าภาษีบุคคลธรรมดาแบบใหม่อุ้มคนรายได้สูง

ผ่าโครงสร้าง ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบใหม่ เอื้อประโยชน์คนรายได้สูง รัฐบาลรายได้ลด 2.5 หมื่นล้านบาท พร้อมเปิดทางสามี-ภรรยา แยกยื่นภาษี

คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติวานนี้ (18 ธ.ค.) ให้กระทรวงการคลังปรับโครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ โดยให้มีทั้งหมด 7 อันตราจากปัจจุบันที่มี 5 อันตรา มีผลบังคับปีหน้า

จากอันตราใหม่ ผู้มีรายได้มากกว่า 4 ล้านบาทต่อปี เสียภาษีในอันตราร้อยละ 35 ลดลงจากอันตราร้อยละ37 ของรายได้ต่อปี

โดยมีรายละเอียดดังนี้คือ

ผู้มีรายได้รายได้ระหว่าง 300,000 บาท แรกจะเสียภาษีในอันตราร้อยละ 5 ของรายได้ต่อปี และรัฐบาลยังคงยกเว้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 150,000 บาท ตามเดิม

รายได้ช่วง 300,001 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท จะถูกเก็บภาษีร้อยละ 10 เท่ากับอันตราเดิม

รายได้ช่วง 500,001 ถึง 750,000 เสียภาษี ร้อยละ15 จากอันตราเดิม ที่ร้อยละ20

รายได้ช่วง 750,001 ถึง 1 ล้านบาท เสียภาษีอัตราร้อยละ 20 เท่าเดิม

รายได้ช่วง 1,000,001 ถึง 2 ล้านบาท เสียภาษีร้อยละ 25 ลดลงจากร้อยละ30

รายได้ช่วง 2,000,001 ถึง 4 ล้านบาท เสียภาษีร้อยละ 30 เท่ากับอันตราเดิม

รายได้ตั้งแต่ 4,000,001 ขึ้นไปเสียภาษีร้อยละ 35 ลดลงจากอันตราปัจจุบันที่ร้อยละ 37

มาตราใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสูญรายได้ไป 2.5 หมื่นล้านบาทในปีภาษี2556 หรือรายได้ปีปฏิทิน 2557

นอกจากนี้ ครม.ยังอนุญาตให้สามีภริยาสามารถแยกยื่นภาษีประจำปีได้ ทำให้คู่สามีภริยาจะได้เสียภาษีน้อยลง จากมาตรการนี้จะให้รายได้ภาษีของรัฐบาลลดลงไปปีละ7 พันล้านบาท มาตรานี้มีผลบังคับทันทีปีนี้

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20121219/482550/%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.html

 

เผย 7 อาชีพ ทำงานได้เสรีในอาเซียน รับ AEC

สมาคมส่งเสริมการค้าอาเซียน  เผย 7 วิชาชีพ ที่สามารถทำงานได้ในทุกประเทศของอาเซียน ทั้ง ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน

จากที่จะมีการรวมตัวของประเทศในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศ เป็น Asean Economics Community (AEC) เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน มีรูปแบบคล้ายๆ กลุ่ม Euro Zone โดยมีผลประโยชน์ อำนาจต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากขึ้น และการนำเข้า ส่งออกของชาติในอาเซียนทำจะเสรี ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า (เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว) โดยอาเซียนจะรวมตัวเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” อย่างจริงจังในวันที่ 1 มกราคม 2558 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ได้มีการกำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้านคุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายนักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญได้อย่างเสรี โดยเบื้องต้นได้กำหนดครอบคลุม 7 อาชีพ  ได้แก่
– อาชีพวิศวกร( Engineering Services)
– อาชีพพยาบาล (Nursing Services)
– อาชีพสถาปนิก(Architectural Services)
– อาชีพการสำรวจ (Surveying Qualifications)
– อาชีพนักบัญชี (Accountancy Services)
– อาชีพทันตแพทย์ (Dental Practitioners)
– อาชีพแพทย์ (Medical Practitioners)

ทั้งนี้การเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 7 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสาย วิชาชีพทั้ง 7 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้ผู้จบการศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 7 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 7 อาชีพในปี 2015 (2558) แม้จะเป็นโอกาสทองของคนไทยในสายวิชาชีพดังกล่าว แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อย ทั้งในด้านการที่คนไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ และการที่คนต่างประเทศมาทำงานในไทย เพราะถ้าการระวังไม่รัดกุม โอกาสทองนั้นอาจพลิกเป็นวิกฤต และมีผลกระทบรุนแรงต่อบางสายวิชาชีพได้

ข้อมูลจาก สมาคมส่งเสริมการค้าอาเซียน

เคบีเอส เพิ่มทุน300ล.บริษัทลูกลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวล

น้ำตาลครบุรี เพิ่มทุนบริษัทย่อย 300 ล้านบาท ลุยขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลจากกากอ้อย มูลค่า 1,638 ล้านบาท ขายกฟผ.

นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจำนวน 300 ล้านบาท ในบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด หรือ (KPP) ซึ่งจากเดิมที่มีทุนอยู่แล้ว 200 ล้านบาท โดย KPP ถือเป็นบริษัทย่อยที่ KBS ถือหุ้นอยู่ 99.99% เพื่อรองรับการขยายโครงการสร้างโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า จากพลังงานชีวมวล จากขนาดกำลังการผลิต 15 เมกกะวัต์ เป็น 35 เมกกะวัตต์ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,638 ล้านบาท

โดยแหล่งเงินทุนจะมาจาก KBS จำนวน 300 ล้านบาท และที่เหลือเป็นการกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จ พร้อมขายไฟให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้ประมาณเดือนมกราคม 2557

ทั้งนี้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลดังกล่าว เป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ใช้ประโยชน์จากกากอ้อยที่เหลือจากการผลิต น้ำตาลให้ได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งจะทำให้ KBS มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 7-10%  และจะผลักดันให้กำไรสุทธิของ KBS เพิ่มมากขึ้น 25-30% โดยจะเริ่มเห็นภาพของรายได้และกำไรสุทธิขยายตัวตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นไป

“รายได้ที่เกิดจากโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก หากเปรียบเทียบกับฐานรายได้ของ KBS ในปัจจุบันซึ่งมาจากการขายน้ำตาลเป็นหลัก แต่ที่จะเห็นภาพชัดคือในส่วนของการกำไรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยคาดว่าจะผลักดันให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 25-30% อย่างไรก็ตาม KBS ไม่ได้คาดหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากไฟฟ้าให้มากกว่านี้ เพราะวัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าวคือต้องการใช้ประโยชน์จากกากอ้อย ที่มีอยู่แล้วให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด โดยธุรกิจหลักของ KBS ก็ยังคงมาจากการขายน้ำตาล”

นายอิสสระ ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มรายได้ของ KBS ในปี  2555 นี้ คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ประมาณ 6,150 ล้านบาท จากปริมาณการหีบอ้อยที่ 2.5 ล้านตัน ส่วนปี 2556 ตั้งเป้าอ้อยเข้าหีบประมาณ 2.8 ล้านตัน หลังปริมาณพื้นที่ปลูกอ้อยปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้ขายน้ำตาลล่วงหน้าไปแล้วกว่า 53% ทำให้คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ประมาณ 10% นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับแผนหันมาผลิตน้ำตาลทรายขาวซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าน้ำตาล ทรายดิบมากขึ้นเพื่อช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรของบริษัทใน อนาคต

ข่าวจาก http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20120620/457682/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%AA-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99300%E0%B8%A5.%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%A5.html

8 ยักษ์ไอทีเดินสะดุดบ่วงขาดทุน

เผยโฉม 8 บิ๊กแบรนด์ไอทีที่เคยยิ่งใหญ่ แต่วันนี้กลับเดินสะดุดบ่วงขาดทุน และกำลังสูญเสียความเป็นดาวจรัสแสง

เทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้น ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคในขณะนี้ คือ บริษัทผู้ผลิตที่เคยครองตำแหน่งผู้นำเริ่มถูกคู่แข่งบดบังรัศมี จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะราคาแพงของคู่แข่ง ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ จนทำให้บิ๊กแบรนด์ไอทีหลายรายขาดทุน และเผชิญกับภาวะขาลง

ทั้งที่ครั้งหนึ่ง เคยเป็นแบรนด์ในดวงใจผู้บริโภค แต่ถึงวันนี้หลายคนกลับไม่สามารถจดจำชื่อแบรนด์เหล่านั้นได้ และแม้จะเคยสร้างความฮือฮาด้วยผลิตภัณฑ์สุดไฮเทค ไม่ว่าจะเป็นนินเทนโด วี แบล็คเบอร์รีของอาร์ไอเอ็ม โซนี่ วอล์คแมน บริษัทเหล่านี้กลับไม่สามารถบริหารจัดการความสำเร็จให้ยาวนานด้วยผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ จนต้องสูญเสียที่ยืนให้กับคู่แข่ง

น่าสนใจว่า ในบางกรณีบิ๊กเนมเดินเข้าสู่ขาลงโดยที่ไม่มีคู่แข่งจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ อย่าง “โนเกีย” ที่เผชิญภาวะขาดทุนและสูญเสียฐานที่มั่นในธุรกิจ เพราะไม่สามารถเกาะเกี่ยวกระแสสมาร์ทโฟนที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้

24/7 วอลล์สตรีท รวบรวม 8 แบรนด์เทคโนโลยีระดับท็อปที่กำลังเดินสะดุดบ่วงขาดทุน และเผชิญกับกระแสความนิยมที่เสื่อมถอยลง โดยบริษัทแรก ได้แก่ “รีเสิร์ช อิน โมชั่น” (อาร์ไอเอ็ม) ซึ่งเคยเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟน แบล็คเบอร์รีที่เคยฮิตกลับสูญเสน่ห์ ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 125 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมาจากค่าความนิยม (goodwill charge) และการจัดเตรียมสินค้าคงคลังของแบล็คเบอร์รี 7 ทำให้รายได้ของอาร์ไอเอ็มลดลง 24% จากปีก่อน ขณะที่ส่วนแบ่งของอาร์ไอเอ็มในตลาดสมาร์ทโฟนสหรัฐร่วงจาก 16% ในเดือนธันวาคม เหลือ 12.3% ในเดือนมีนาคมปีนี้ ผิดกับสมาร์ทโฟนตระกูลแอนดรอยด์ของกูเกิลที่มีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 47.3% เป็น 51% และนี่อาจทำให้ “แบล็คเบอร์รี 10″ เป็นโอกาสสุดท้ายของอาร์ไอเอ็มที่จะกู้สถานการณ์

2.”ชาร์ป” แบรนด์ญี่ปุ่นที่รายงานผลขาดทุนทั้งปี 4.67 พันล้านดอลลาร์ เมื่อเดือนเมษายน และคาดว่าจะยังขาดทุนต่อเนื่องอีกในปีงบประมาณปัจจุบัน สาเหตุหลักๆ ของการขาดทุนมาจากราคาและยอดขายทีวีแอลซีดีที่ลดลง นอกจากนี้ ชาร์ปยังต้องต่อกรกับบริษัทจากเกาหลีใต้ ชาร์ปใช้เงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ในการปรับโครงสร้าง และเพิ่งขายหุ้น 46% ในโรงงานแอลซีดีให้กับคู่แข่งจากไต้หวัน “ฮอน ไฮ” เพื่อลดขาดทุนในธุรกิจผลิตทีวี

3.”อิเล็กทรอนิก อาร์ตส” ค่ายเกมยักษ์ใหญ่ รายงานผลขาดทุนสุทธิ 205 ล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 3 ที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2554 ทั้งที่มีรายได้สุทธิ 1.06 พันล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกัน โดยเกม “ฟีฟ่า 12” และ “แบทเทิลฟีลด์ 3″ ขายได้กว่า 10 ล้านสำเนา บริษัทยังควักเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างสรรค์เกมบนเครือข่ายสังคม

4.”โซนี่” ยักษ์อิเล็กทรอนิกส์แดนซามูไร โดยในเดือนเมษายน โซนี่ออกมาเตือนว่าอาจขาดทุนสุทธิ 6.4 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณล่าสุด ซึ่งถือเป็นการขาดทุนมากสุดนับแต่ก่อตั้งมา 65 ปี ไม่เพียงขาดทุนในธุรกิจทีวี แต่ในธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค โซนี่ก็ต้องแข่งกับแอปเปิลและซัมซุง รวมถึงสูญเสียตลาดเกมและอุปกรณ์เพลงดิจิทัล ทั้งที่เคยปลุกปั้น “พีเอส2” และ “วอล์คแมน” จนดังระเบิด

5.”นินเทนโด” ผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมเบอร์ 1 ซึ่งมี “วี” เป็นสินค้ายอดฮิต แต่การแข่งขันที่ดุเดือดทั้งกับไมโครซอฟท์และโซนี่ ทำให้นินเทนโดถูกบีบให้ลดราคาสินค้าลง เดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทรายงานผลขาดทุนในปี 2554 ราว 461.2 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ทั้ง 3 บริษัทต้องเผชิญกับการแข่งขันจากบรรดาเกมบนสมาร์ทโฟนที่โตอย่างรวดเร็ว

6.”โนเกีย” ยักษ์มือถือเบอร์ 1 ที่เพิ่งถูกซัมซุงโค่นตำแหน่งในส่วนของมือถือระดับล่าง ขณะที่ตลาดสมาร์ทโฟนก็ไม่สามารถรักษาที่ยืนจากเงื้อมมือของซัมซุงและแอปเปิล บริษัทเพิ่งประกาศผลขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด และจับมือกับไมโครซอฟท์เพื่อกอบกู้ความยิ่งใหญ่

7.”บาร์นส แอนด์ โนเบิล” ที่โหมลงทุนอุปกรณ์อ่านอี-บุ๊ก “นุก” (Nook) แต่การแข่งขันจากแทบเล็ตและบริษัทอี-รีดเดอร์อื่นๆ อาทิ แอปเปิล อะเมซอน ส่งผลให้ช่วง 39 สัปดาห์ นับถึง 28 มกราคม 2555 บาร์นส แอนด์ โนเบิล ขาดทุนกว่า 11 ล้านดอลลาร์ บริษัทพยายามลดต้นทุนในการพัฒนาโดยหันไปใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์สของ ไมโครซอฟท์

8.”เอเซอร์” พึ่งพาเน็ตบุ๊กอย่างมาก กระทั่งกระแสแทบเล็ตเติบโตมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมถึงสมาร์ทโฟน บริษัทหนีไม่พ้นบ่วงขาดทุน 212 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ปัจจุบันเอเซอร์ปรับโฟกัสไปเน้นอัลตร้าบุ๊ก ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่า ราคาอัลตร้าบุ๊กจะลดลงอีก เพื่อสู้กับไอแพด ซึ่งอาจทำให้เอเซอร์เจ็บตัวอีก

ข่าวจาก

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/global/20120515/451732/8-%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99.html

D-Link DES-1008P 8-Port switch ส่งผ่านพลังงานไฟพร้อมข้อมูลได้จากสายเคเบิลเดียว

D-Link DES-1008P 8-Port switch (P/N: DES-1008P) คือสวิตช์ 8 พอร์ตที่สามารถส่งต่อพลังงานไปยังอุปกรณ์เน็ตเวิร์คได้สูงสุดถึง 4 ตัว ผ่านทางเน็ตเวิร์คเคเบิลที่ทำงานอยู่บนเทคโนโลยี Power over Ethernet อุปกรณ์ตัวนี้จึงเป็นโซลูชันที่ให้ความคุ้มค่าสูงสำหรับผู้ใช้งานบนระบบ เครือข่าย โดยจะทำหน้าที่ช่วยในส่วนของการเชื่อมต่อและส่งผ่านพลังงานไฟไปยังตัวอุ ปกรณ์เน็ตเวิร์ค อาทิ แอคเซสพอยต์, กล้องวิดีโอในระบบไอพี และโทรศัพท์ในระบบไอพี โดยส่งผ่านทางเน็ตเวิร์คเคเบิลที่ใช้กันอยู่ตามปกติ และในฐานะเป็นตัวสวิตช์จึงสามารถใช้งาน เพื่อการแบ่งปันไฟล์ข้อมูล เพลงและวิดีโอ บนระบบเครือข่ายของคุณเองได้ หรือใช้ในการสร้างสภาพแวดล้อมสำหรับการเล่นเกมส์ออนไลน์หมู่ได้อีกด้วย นอกจากนั้นผู้ใช้งานยังสามารถเพิ่มการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์, พรินเตอร์ และอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลบนระบบเครือข่าย รวมถึงอุปกรณ์อีเธอเน็ตอื่นๆ เข้าไปบนระบบเครือข่ายของคุณเองได้อีกด้วย ตัวเครื่องมีการทำงานที่เงียบจึงเหมาะสำหรับการใช้งานภายในบ้านและในสำนัก งานขนาดเล็ก และยังสามารถติดตั้งไว้แบบแขวนบนผนังเพื่อช่วยประหยัดพื้นที่บนโต๊ะทำงานของ คุณเองได้อีกด้วย จากทั้งหมด 8 พอร์ตบนตัวเครื่องนั้น มีจำนวน 4 พอร์ตที่สนับสนุนมาตรฐาน IEEE 802.3af สำหรับ Power over Ethernet (PoE) และแต่ละพอร์ตนี้สามารถให้พลังงานได้ 15.4W และสูงสุดของ PoE ที่ 56W ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่บนมาตรฐาน IEEE 802.3af แนบไว้ด้วยได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้แหล่งพลังงานไฟจากจุดอื่นเลย นอกจากนั้นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ใช้พลังงานไฟจากวิธีนี้ยังไม่จำเป็นที่ จะต้องวางตัวอุปกรณ์ไว้ใกล้กับตัวจ่ายพลังงานไฟ จึงให้ความยืดหยุ่นในการจัดวางตัวอุปกรณ์ได้มากกว่า

Fuji Xerox DocuPrint M205fw Mono Multifunction Printer ผลิตงานพิมพ์คุณภาพสูงได้อย่างง่ายดายด้วยตัวคุณเอง

Fuji Xerox DocuPrint M205fw Mono Multifunction Printer (P/N: DPM205FW-S ) ตัวเครื่องได้รับการออกแบบมาให้มีขนาดที่กะทัดรัด และดูทันสมัย สามารถติดตั้งลงบนโต๊ะทำงานซึ่งมีพื้นที่จำกัดของคุณได้อย่างลงตัว ตัวเครื่องมาพร้อมด้วยการทำงานแบบไร้สาย และคุณสมบัติที่ครบครันทั้งการพิมพ์ การสแกน การถ่ายเอกสารและการรับส่งแฟกซ์ นอกจากนั้นยังมีการทำงานที่เงียบ ไม่ส่งเสียงรบกวนการทำงานภายในสำนักงานของคุณ พร้อมด้วยประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงที่จะช่วยคุณประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการ พิมพ์ลงได้มาก ที่สำคัญยังมีการใช้พลังงานที่น้อยลง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ถึง 20% เลยทีเดียว ในส่วนของคุณสมบัติด้านการพิมพ์ ได้มอบจุดเด่นในโหมดการพิมพ์แบบประหยัดหมึกพิมพ์ และการยอกเลิกการสั่งพิมพ์ที่ไม่ต้องการได้อย่างง่ายดายผ่านทางปุ่มยกเลิก ได้จากด้านหน้าของตัวเครื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องพิมพ์รุ่นนี้ยังสามารถผลิตงานพิมพ์คุณภาพสูงได้เร็ว 24 แผ่นต่อนาที และมาพร้อมด้วยหน่วยความจำขนาดใหญ่ 128 MB ซึ่งจะช่วยให้งานพิมพ์ทุกประเภทของคุณสำเร็จลุล่วงลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว

จุดเด่นผลิตภัณฑ์

  • มอบความเร็วในการพิมพ์ 24 แผ่นต่อนาที
  • หน่วยความจำมาตรฐานขนาด 128 MB
  • สั่งพิมพ์งานแผ่นแรกได้ภายในเวลาเพียงแค่ 11 วินาทีเท่านั้น
  • ความละเอียดในการพิมพ์ระดับ 1200×1200 จุดต่อนิ้ว

Emerson Liebert ITON 600 BX ปกป้องกำลังไฟและแบ็คอัพข้อมูลให้กับเครื่องพีซีของคุณ

Emerson Liebert ITON 600 BX (P/N: PS600-BX) สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เข้าสู่โหมด sleep ได้โดยอัตโนมัติ ตัวเครื่องสามารถรองรับการใช้งานอย่างต่อเนื่องได้ในทันทีด้วยคุณสมบัติการ ชาร์จพลังไฟเข้าเครื่องได้อย่างรวดเร็ว และสามารถชาร์จไฟเข้าเครื่องได้แม้ว่าจะปิดการทำงานของเครื่องไปแล้วก็ตาม ควบคุมการทำงานของตัวเครื่องด้วยความอัจฉริยะของไมโครโปรเซสเซอร์ มาพร้อมด้วยเทคโนโลยี Smart AVR หรือระบบแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ ส่วนคุณสมบัติทางด้านความปลอดภัยขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมี เพื่อให้ยูพีเอสทำงานได้อย่างปลอดภัย และมีประสิทธิภาพก็มีพร้อม คือ สัญญาณเตือนทั้งทางสายตาและทางเสียง ในกรณีที่ยูพีเอสกำลังจ่ายไฟจากแบตเตอรี่ หรือกำลังไฟจากแบตเตอรี่เหลือน้อย และในกรณีที่เกิดโอเวอร์โหลด ก็จะช่วยให้บันทึกไฟล์และปิดการทำงานของเครื่อง หรือแก้ไขสภาวะโอเวอร์โหลดได้ทันท่วงที

จุดเด่นผลิตภัณฑ์

  • สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เข้าสู่โหมด sleep ได้โดยอัตโนมัติ
  • คุณสมบัติการชาร์จพลังไฟเข้าเครื่องได้อย่างรวดเร็ว
  • สามารถชาร์จไฟเข้าเครื่องได้แม้ว่าจะปิดการทำงานของเครื่องไปแล้วก็ตาม
  • ควบคุมการทำงานของตัวเครื่องด้วยความอัจฉริยะของไมโครโปรเซสเซอร์
  • เทคโนโลยี Smart AVR หรือระบบแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติ

Belkin Play Wireless USB Adapter เร็วและแรงระดับสตรีม HD วิดีโอและเล่นเกมส์ออนไลน์

Belkin Play Wireless USB Adapter (P/N : F7D4101AK) ช่วยให้คุณเชื่อมต่อเครื่องแลปทอปและเดสก์ทอปคอมพิวเตอร์ไปยังเครือข่ายไร้ สายได้ ยิ่งเมื่อนำมาใช้งานร่วมกับ Belkin Play หรือ Play Max Wireless Router (แยกซื้อต่างหาก) โดยติดตั้งไว้ที่จุดศูนย์กลางของระบบเครือข่าย ความเร็วของอแดปเตอร์จะมีอัตราเร็วที่เพียงพอสำหรับการสตรีม HD Video และเล่นเกมส์แบบออนไลน์ได้

จุดเด่นผลิตภัณฑ์

  • อุปกรณ์เครือข่ายระบบอูอัลแบนด์ประสิทธิภาพสูง
  • ทำงานอยู่บนมาตรฐานการสื่อสารไร้สายระดับ N+N 300/802.11n
  • มอบอัตราเร็วในการทำงานที่ระดับ 300 เมกะบิตต่อวินาที